หัวไชเท้า หรือ หัวผักกาดขาว
จัดเป็นพืชผักประเภทให้หัวหรือรากที่นิยมใช้ประกอบอาหารจำพวกแกงต้มต่างๆ โดยเฉพาะแกงจืด นอกจากนั้น ยังนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หัวไชเท้าดองเค็ม รวมถึงใช้สกัดสารสำหรับทำยา และเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว
ชื่อวิทยาศาสตร์
: Raphanus sativus
L.
วงศ์ : Brassicaceae
(Cruciferae)
ชื่อสามัญ :
Chinese radish
ชื่อท้องถิ่น :
หัวไชเท้า, ผักกาดหัว,
ผักกาดหัวจีน,
ไช้โป๊ว
พืชในตระกูลผักกาดมีประมาณ 51 สกุล 218 ชนิด และมีชนิดพันธุ์มากกว่า 300 ชนิด มีถิ่นกำเนิดทางทิศตะวันออกของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
หัวไชเท้า/ผักกาดหัว
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มยุโรป
(Radish) นิยมปลูกและบริโภคในเขตอบอุ่น
เช่น ยุโรป อเมริกา
ต้องการอากาศเย็นในการเจริญของราก ประมาณ
15ºC มีช่วงการเก็บเกี่ยวสั้น 20-25
วัน ส่วนของรากมีขนาดเล็ก สีแดงเข้ม
บางชนิดมีสีดำ
แต่เนื้อภายในจะมีสีขาวหรือสีแดง
2.
กลุ่มเอเชีย (Chinese Radish หรือ
Japanese Radish) ปลูกมากแถบเอเชีย
ส่วนของรากมี
ขนาดใหญ่
รูปร่างแบบกลมและยาว ขึ้นอยู่กับพันธุ์
ปกติผิวของรากมีสีขาว
แต่บางพันธุ์อาจมีสีแดงเนื้อภายในมีสีขาว
อายุการเก็บเกี่ยวยาวกว่ากลุ่มแรกคือพันธุ์เบาประมาณ
40-50 วัน และพันธุ์หนักประมาณ 60-70 วัน
สามารถแยกเป็น 2 ชนิด คือ
–
พันธุ์แบบญี่ปุ่น (Japanese Type)
ลักษณะเด่น คือ ขอบใบมีลักษณะหยักลึก
มีจำนวนใบมากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์
มีอายุทั้งสองปี และปีเดียว
ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หนักหรือปานกลาง
-พันธุ์แบบจีน
(Chinese Type) ลักษณะเด่น คือ ขอบใบเรียบ
ไม่มีรอยหยัก ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์เบา
และมีอายุปีเดียว
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก
และหัว
รากหรือหัวไซเท้ามีลักษณะทรงกลมรูปทรงกระบอก
หรือ รูปกรวยยาว หรือรูปทรงอื่นๆ
ตามสายพันธุ์ หัวมีสีขาวจนถึงสีแดง
เป็นส่วนที่นำมาประกอบอาหาร
ส่วนปลายของรากหรือหัวมีรากฝอยขนาดเล็กแทงดิ่งลงด้านล่าง
ลำต้น
ลำต้นหัวไชเท้ามีขนาดสั้น
กลม และเป็นข้อสั้น ไม่มีกิ่งก้าน
แทงออกบริเวณตรงกลางหรือรากของหัวไชเท้า
ใบ
ใบหัวไซเท้า
เป็นใบเดี่ยว แทงออกบริเวณข้อของลำต้น
มีทั้งชนิดที่ขอบใบเรียบ
และขอบใบเว้าลึก
ดอก
ดอกหัวไชเท้า
เป็นดอกสมบูรณ์เพศ เจริญออกจากกลางลำต้น
มีก้านดอกยาว 50-100 ซม.
ดอกมีสีขาวหรือขาวอมม่วง
ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 5 อัน เรียงตัวเป็น
2 ชั้น ส่วนกลีบดอกมี 5 อัน
มีต่อน้ำหวานที่ฐานกลีบ
ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 6 อัน
และเกสรตัวเมีย 1 อัน
ดอกบานในช่วงเช้า
ฝัก
และเมล็ด
ฝักของหัวไชเท้า
ยาวประมาณ 2-6 ซม. มีสีเขียวเข้ม
ฝักจะแก่จากด้านล่างขึ้นด้านบน
เมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาลเทา
เนื้อฝักค่อนข้างแข็ง
ไม่มีรอยแตกตามรอยตะเข็บ
ภายในมีเมล็ดประมาณ 1-10 เมล็ด
เมล็ดมีลักษณะกลม สีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลแดง
บางพันธุ์เป็นสีเหลือง ขนาดเมล็ดประมาณ 3
มม.
ประโยชน์
และการแปรรูป
–
เนื่องจากหัวไชเท้ามีรส
จึงนิยมนำมาประกอบอาหารในหลายเมนู อาทิ
แกงจืด
–
นำมาแปรรูปเป็นหัวไชเท้าดองเค็ม
และหัวไชเท้าดองหวาน
–
แปรรูปเป็นหัวไชเท้าตากแห้ง
–
หัวไชเท้าที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ
นิยมนำมาปะทับใบหน้าเพื่อบำรุงผิวหน้า
ช่วยลดริ้วรอย รักษาฝ้า
และจุดด่างดำ
–
สารสกัดจากหัวไชเท้านำมาเป็นยารักษาฝ้า
และจุดด่างดำ
เนื่องจากมีสารหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส
(Antityrosinase Activity)
ที่เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง
ทำให้ผิวพรรณแลดูคล้ำ
– ใบ
และลำต้นหลังการเก็บเกี่ยวนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์แก่หมู
โค และกระบือ
– ใบ และลำต้น
นำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพหรือใช้ทำปุ๋ยหมัก
คุณค่าทางโภชนาการ
–
พลังงาน 14 กิโลแคลอรี่
– โปรตีน
0.6 กรัม
– คาร์โบไฮเดรต 3
กรัม
– แคลเซียม 24
กรัม
– ฟอสฟอรัส 14
กรัม
– เหล็ก 0.4
มิลลิกรัม
– วิตามินซี 22
มิลลิกรัม
– วิตามิน
B1
– วิตามิน
B1
สารสำคัญที่พบ
ในส่วนของรากหัวไชเท้าสดพบองค์ประกอบทางเคมีหลายชนิด
ได้แก่
•
สารประกอบฟีนอล
–
Kempferol
–
Cyanidine
–
Triterpenes
– Gentisic
acid
– Hydrocinnamic
acid
– Vanillic acid
–
Pelargonidin
–
Luteolin
– Myricetin
–
Quercetin
สรรพคุณหัวไชเท้า
หัวไซเท้า
–
ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
–
ช่วยย่อยอาหาร
–
ช่วยให้ระบาย
–
ฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา
–
ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
–
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดี
–
ต้านอนุมูลอิสระ
–
ต้านการอักเสบ
–
ต้านมะเร็ง
–
ลดเลือนริ้วรอย
– วิตามินซี
และสารประกอบฟีนอลในหัวไชเท้ามีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาว
–
ใช้บดเอาไปพอกแผลไฟไหม้
น้ำร้อนลวกได้
ใบ
–
น้ำคั้นสดที่ได้จากใบ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
และเป็นยาระบาย
เมล็ด
–
เมล็ดช่วยขับลม ขับปัสสาวะ
ขับเสมหะ
รวบรวมจาก วรรษมน, (2557)(1)
ข้อควรระวัง
–
หัวไชเท้า มีสาร Allyl isothiocyanate และ
Thioglycoside
ที่สามารถทำให้เกิดอาหารผื่นแพ้บนผิวหนังได้
–
หัวไชเท้ามีสาร Saponin
ที่ออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาท
ที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมของยาฆ่าแมลง
เมื่อรับประทานดิบอาจทำให้
การปลูกหัวไชเท้า
พันธุ์ที่ใช้ปลูก
หัวไชเท้าหรือผักกาดหัวมี
2 พันธุ์ คือ พันธุ์หนัก กับ พันธุ์เบา
แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์เบา
ได้แก่
เคยู-1 (KU-1) เป็นพันธุ์เบา
อายุเก็บเกี่ยว 42-45 วัน หลังจากปลูก
หัวยาวประมาณ 20-22 เซนติเมตร
เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.8 เซนติเมตร น้ำหนัก
250 กรัม/หัว รสชาติไม่เผ็ด ลักษณะใบเรียบ
ไม่มีขนหรือหนาม
พันธุ์แม่โจ้ 1 (OW-1) เป็นพันธุ์เบา อายุเก็บเกี่ยว 45-48 วัน หลังจากปลูก หัวยาวประมาณ 20.5 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 4.5 เซนติเมตร น้ำหนักเฉลี่ย 225 กรัม/หัว ลักษณะใบเรียบไม่มีขน ส่วนลักษณะขอบในมี 2 ลักษณะ คือ ขอบใบเรียบตลอดทั้งใบ และขอบใบหยักเล็กน้อย บริเวณโคนก้านใบมีดอกสีขาว
พันธุ์เอเวอเรส ไฮบริด (Everest Hybrid ) เป็นพันธุ์เบา อายุเก็บเกี่ยว 50 วัน หลังจากปลูก หัวยาวประมาณ 30-35 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6-7 เซนติเมตร ใบสีเขียวเข้มไม่มีขน หัวมีรสชาติเผ็ดเล็กน้อย เพราะมีสาร Glycoside ในปริมาณค่อนข้างสูง แต่มีข้อดี คือ ทนทานต่อโรค และให้ผลผลิตต่อไร่สูง
พันธุ์ฝาง 1และฝาง 2 เป็นพันธุ์เบา อายุเก็บเกี่ยว 45 วัน หลังจากปลูก หัวยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-6 เซนติเมตร
ระบบการปลูก
1.
การปลูกแบบร่องสวนหรือร่องจีน
ส่วนมากเป็นการปลูกในพื้นที่ลุ่ม
2.
การปลูกแบบไร่
เป็นการปลูกในพื้นที่ราบเป็นดินน้ำท่วม
หรือเรียกว่า ดินน้ำไหลทรายมูล
ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์สูง
และอุ้มความชื้นดีมาก
3.
การปลูกแบบยกแปลงปลูก
เมื่อเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทำแปลงปลูกสูงประมาณ 10-15 เซนติเมตร
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับฤดูปลูก โดยทั่วไป
ขนาดของแปลงกวาง 1-1.50 เมตร
ความยาวขึ้นอยู่กับความต้องการ
การเตรียมดิน
และแปลงปลูก
ไถหรือขุดดินให้ลึกประมาณ
20-30 เซนติเมตร ตากดินไว้ประมาณ 7-15 วัน
เพื่อกำจัดวัชพืช และแมลงในดิน
ถ้าดินเป็นกรดหรือดินเหนียวต้องใส่ปูนขาว
และใส่ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มเติม
ขณะเตรียมดินครั้งที่ 2
ให้หว่านปูนขาวชนิดโดโลไมท์ ปริมาณ 20-30
กิโลกรัม/ไร่ และปุ๋ยอินทรีย์ 1-2 ตัน/ไร่
ให้กระจายทั่วทั้งแปลง
แล้วพรวนดินเพื่อให้ปูนขาว
และปุ๋ยอินทรีย์ผสมกับดิน ทิ้งไว้ประมาณ
15 วัน จึงพรวนดินอีกครั้งหนึ่ง
การพรวนดินครั้งนี้ต้องย่อยดินให้ละเอียดที่สุด
เพื่อให้พร้อมที่จะทำการปลูก
การปลูก
เมื่อเตรียมดินเรียบร้อยแล้ว
นำเมล็ดไปปลูกในดินที่เตรียมไว้
วิธีการปลูก แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
การปลูกโดยการหว่านเมล็ด
และการปลูกแบบการหยอดเมล็ดเป็นแถวบนแปลงยกร่อง
ส่วนระยะจะขึ้นกับพันธุ์ที่ใช้ปลูก เช่น
พันธุ์เบา ใช้ระยะปลูก 20 x 30 เซนติเมตร
พันธุ์กลาง ใช้ระยะปลูก 30 x 45 เซนติเมตร
พันธุ์หนัก ใช้ระยะปลูก 30-45 x 50-75
เซนติเมตร
การให้น้ำ
ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งผักกาดหัวฟอร์มหัว และเก็บเกี่ยว
ถ้าให้น้ำไม่สม่ำเสมอจะทำให้คุณภาพของหัวไม่ดี
หัวแตก
เนื่องจากการขยายตัวของเซลล์ไม่สม่ำเสมอ
การใส่ปุ๋ย
สูตรปุ๋ยที่แนะนำให้ใช้คือ
13-13-21 หรือ 15-15-15 ใส่ในอัตรา 50
-100 กิโลกรัม/ไร่
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
การใส่ให้แบ่งใส่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกใส่ตอนรองพื้น
แล้วพรวนกลบลงไปในดิน ครั้งที่ 2
ใส่เมื่อต้นกล้าได้อายุประมาณ 20-25 วัน
โดยใส่แบบโรยข้างต้นกล้าแล้วพรวนกลบ
นอกจากนี้
ในระยะแรกของการเจริญเติบโตอาจจะใส่ปุ๋ยเสริมอีกก็ได้
เช่น ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมไนเตรต
อัตรา 10 กิโลกรัม/ไร่
เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก
การถอนแยก
เมื่อผักกาดหัวงอก
และมีใบจริง 2-3 ใบ
ก็ถอนแยกให้เหลือจำนวนต้น
และระยะที่ต้องการ ในกรณีที่หยอดเป็นแถว
ให้ถอนต้นให้ได้ระยะ 20-30 เซนติเมตร
ถ้าหยอดเป็นหลุม ให้ถอนแยกให้เหลือหลุมละ
1 ต้น การถอนแยกอาจทำพร้อม ๆ
กับการกำจัดวัชพืช
การพรวนดิน
และการกำจัดวัชพืช
การพรวนดิน
และการกำจัดวัชพืชควรทำไปพร้อมกับการใส่ปุ๋ย
การพรวนดินควรทำด้วยความระมัดระวัง
อย่าให้เกิดแผลที่รากเพราะจะทำให้เกิดโรครากเน่า
และรากแตกแขนง การฟอร์มหัวคดงอ
การพรวนดินควรทำในระยะแรกๆ
ของการเจริญเติบโตของผักกาดหัว
เมื่อผักกาดหัวฟอร์มหัวแล้วไม่ควรพรวนดิน
เพราะจะทำให้เกิดผลเสียต่อผักกาดหัวมากกว่าผลดี
การเก็บหัวไชเท้า
สำหรับพันธุ์เบา
อายุตั้งแต่หยอดเมล็ดจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ
40-50 วัน
ส่วนพันธุ์หนักจะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ
60-70
วัน
การเตรียมผักกาดหัวส่งตลาด
–
หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว
นาผักกาดหัวไปล้างน้ำ ด้วยน้ำที่สะอาด
ในขณะที่ล้างต้องมีการคัดเลือกหัวที่ไม่ดีหรือมีตำหนิออก
–
ตัดใบหรือก้านใบออกให้เหลือเป็นกระจุก
ยาวห่างจากหัวประมาณ 3-5 เซนติเมตร
ส่วนของก้านใบที่เหลือจะต้องไม่เป็นโรคหรือมีเพลี้ยติดอยู่
–
การจำหน่ายผักกาดหัวในประเทศไทย
ยังไม่มีการจาหน่ายเป็นเกรด
ส่วนใหญ่จำหน่ายรวมๆ กัน อย่างไรก็ตาม
ก่อนทำการบรรจุผักกาดหัวจำเป็นต้องคัดเลือกเฉพาะผักกาดหัวที่มีคุณภาพดีเท่านั้นไปจาหน่าย
–
การบรรจุ ภาชนะที่ใช้บรรจุผักกาดหัว คือ
เข่งไม่ไผ่ขนาดต่าง ๆ บรรจุได้ 25-50
กิโลกรัม ลังไม้ หรือลังพลาสติก บรรจุได้
25-50 กิโลกรัม ถุงพลาสติก บรรจุได้ 5-10
กิโลกรัม
– การเก็บรักษา
เพื่อรักษาคุณภาพของผักกาดหัวและขยายช่วงเวลาการเก็บรักษา
ควรเก็บผักกาดหัวไว้ในอุณหภูมิ 0-1
องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90-95%
เก็บไว้ได้นาน 21-28
วัน
เอกสารอ้างอิง