หน้าหลัก > ข่าว > ศูนย์เรียนรู้ และอนุรักษ์พันธุ์พืชสมุนไพรไทย > หัวไชเท้า หรือ หัวผักกาดขาว
หัวไชเท้า หรือ หัวผักกาดขาว

ผู้ดูแลเว็บ วิทยาเขตสมุทรสงคราม
2024-03-03 10:50:19


หัวไชเท้า หรือ หัวผักกาดขาว 

จัดเป็นพืชผักประเภทให้หัวหรือรากที่นิยมใช้ประกอบอาหารจำพวกแกงต้มต่างๆ โดยเฉพาะแกงจืด นอกจากนั้น ยังนิยมนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หัวไชเท้าดองเค็ม รวมถึงใช้สกัดสารสำหรับทำยา และเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ :  Raphanus sativus L.
วงศ์ :  Brassicaceae (Cruciferae)
ชื่อสามัญ :  Chinese radish
ชื่อท้องถิ่น :  หัวไชเท้า, ผักกาดหัว, ผักกาดหัวจีน, ไช้โป๊ว

พืชในตระกูลผักกาดมีประมาณ 51 สกุล 218 ชนิด และมีชนิดพันธุ์มากกว่า 300 ชนิด มีถิ่นกำเนิดทางทิศตะวันออกของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

หัวไชเท้า/ผักกาดหัว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มยุโรป (Radish) นิยมปลูกและบริโภคในเขตอบอุ่น เช่น ยุโรป อเมริกา ต้องการอากาศเย็นในการเจริญของราก ประมาณ 15ºC มีช่วงการเก็บเกี่ยวสั้น 20-25 วัน ส่วนของรากมีขนาดเล็ก สีแดงเข้ม บางชนิดมีสีดำ แต่เนื้อภายในจะมีสีขาวหรือสีแดง
2. กลุ่มเอเชีย (Chinese Radish หรือ Japanese Radish) ปลูกมากแถบเอเชีย ส่วนของรากมี
ขนาดใหญ่ รูปร่างแบบกลมและยาว ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ปกติผิวของรากมีสีขาว แต่บางพันธุ์อาจมีสีแดงเนื้อภายในมีสีขาว อายุการเก็บเกี่ยวยาวกว่ากลุ่มแรกคือพันธุ์เบาประมาณ 40-50 วัน และพันธุ์หนักประมาณ 60-70 วัน สามารถแยกเป็น 2 ชนิด คือ
– พันธุ์แบบญี่ปุ่น (Japanese Type) ลักษณะเด่น คือ ขอบใบมีลักษณะหยักลึก มีจำนวนใบมากน้อยขึ้นอยู่กับพันธุ์ มีอายุทั้งสองปี และปีเดียว ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หนักหรือปานกลาง
-พันธุ์แบบจีน (Chinese Type) ลักษณะเด่น คือ ขอบใบเรียบ ไม่มีรอยหยัก ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์เบา และมีอายุปีเดียว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ราก และหัว
รากหรือหัวไซเท้ามีลักษณะทรงกลมรูปทรงกระบอก หรือ รูปกรวยยาว หรือรูปทรงอื่นๆ ตามสายพันธุ์ หัวมีสีขาวจนถึงสีแดง เป็นส่วนที่นำมาประกอบอาหาร ส่วนปลายของรากหรือหัวมีรากฝอยขนาดเล็กแทงดิ่งลงด้านล่าง

ลำต้น
ลำต้นหัวไชเท้ามีขนาดสั้น กลม และเป็นข้อสั้น ไม่มีกิ่งก้าน แทงออกบริเวณตรงกลางหรือรากของหัวไชเท้า

ใบ
ใบหัวไซเท้า เป็นใบเดี่ยว แทงออกบริเวณข้อของลำต้น มีทั้งชนิดที่ขอบใบเรียบ และขอบใบเว้าลึก

ดอก
ดอกหัวไชเท้า เป็นดอกสมบูรณ์เพศ เจริญออกจากกลางลำต้น มีก้านดอกยาว 50-100 ซม. ดอกมีสีขาวหรือขาวอมม่วง ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 5 อัน เรียงตัวเป็น 2 ชั้น ส่วนกลีบดอกมี 5 อัน มีต่อน้ำหวานที่ฐานกลีบ ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 6 อัน และเกสรตัวเมีย 1 อัน ดอกบานในช่วงเช้า

ฝัก และเมล็ด
ฝักของหัวไชเท้า ยาวประมาณ 2-6 ซม. มีสีเขียวเข้ม ฝักจะแก่จากด้านล่างขึ้นด้านบน เมื่อฝักแก่จะมีสีน้ำตาลเทา เนื้อฝักค่อนข้างแข็ง ไม่มีรอยแตกตามรอยตะเข็บ ภายในมีเมล็ดประมาณ 1-10 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลม สีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลแดง บางพันธุ์เป็นสีเหลือง ขนาดเมล็ดประมาณ 3 มม.

ประโยชน์ และการแปรรูป
– เนื่องจากหัวไชเท้ามีรส จึงนิยมนำมาประกอบอาหารในหลายเมนู อาทิ แกงจืด
– นำมาแปรรูปเป็นหัวไชเท้าดองเค็ม และหัวไชเท้าดองหวาน
– แปรรูปเป็นหัวไชเท้าตากแห้ง
– หัวไชเท้าที่ฝานเป็นแผ่นบางๆ นิยมนำมาปะทับใบหน้าเพื่อบำรุงผิวหน้า ช่วยลดริ้วรอย รักษาฝ้า และจุดด่างดำ
– สารสกัดจากหัวไชเท้านำมาเป็นยารักษาฝ้า และจุดด่างดำ เนื่องจากมีสารหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Antityrosinase Activity) ที่เป็นสารสำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณแลดูคล้ำ
– ใบ และลำต้นหลังการเก็บเกี่ยวนำมาใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์แก่หมู โค และกระบือ
– ใบ และลำต้น นำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพหรือใช้ทำปุ๋ยหมัก

คุณค่าทางโภชนาการ
– พลังงาน 14 กิโลแคลอรี่
– โปรตีน 0.6 กรัม
– คาร์โบไฮเดรต 3 กรัม
– แคลเซียม 24 กรัม
– ฟอสฟอรัส 14 กรัม
– เหล็ก 0.4 มิลลิกรัม
– วิตามินซี 22 มิลลิกรัม
– วิตามิน B1
– วิตามิน B1

สารสำคัญที่พบ
ในส่วนของรากหัวไชเท้าสดพบองค์ประกอบทางเคมีหลายชนิด ได้แก่
• สารประกอบฟีนอล
– Kempferol
– Cyanidine
– Triterpenes
– Gentisic acid
– Hydrocinnamic acid
– Vanillic acid
– Pelargonidin
– Luteolin
– Myricetin
– Quercetin

สรรพคุณหัวไชเท้า
หัวไซเท้า
– ช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร
– ช่วยย่อยอาหาร
– ช่วยให้ระบาย
– ฤทธิ์ฆ่าเชื้­อรา
– ช่วยลดน้ำตาลในเลือด
– ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดี
– ต้านอนุมูลอิสระ
– ต้านการอักเสบ
– ต้านมะเร็ง
– ลดเลือนริ้วรอย
– วิตามินซี และสารประกอบฟีนอลในหัวไชเท้ามีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาว
– ใช้บดเอาไปพอกแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้

ใบ
– น้ำคั้นสดที่ได้จากใบ มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และเป็นยาระบาย

เมล็ด
– เมล็ดช่วยขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ

รวบรวมจาก วรรษมน, (2557)(1)