สืบเนื่องจากเมื่อวันที่28กุมภาพันธ์พ.ศ.2539คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบต่อนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ
(ไอที2000)ตามที่เสนอโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อม
เพื่อพัฒนาสังคมและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ
อุตสาหกรรม และการค้าระหว่างประเทศ
ในการก้าวเข้าสู่สังคมสารสนเทศ
ซึ่งเป็นยุคเศรษฐกิจใหม่แห่งศตวรรษที่21โดยหนึ่งในมาตรการที่สำคัญคือการปฏิรูปกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ(Information
Law) หรือมักเรียกกันว่า "กฎหมายไอที
(IT
Law)
ในเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ
มีทั้งสิ้น 6 ฉบับ ได้แก่
กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์กฎหมายเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
และกฎหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78
ว่าด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายทั้ง6ฉบับแรกเป็นกฎหมายชุดที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นการยอมรับสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำนิติกรรม
สัญญา ในรูปแบบใหม่
การรับรองลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อระบุหรือยืนยันตัวบุคคลและการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่าการโอนเงินหรือการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีความปลอดภัยและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อมิให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ
อีกทั้งจำเป็น
อย่างยิ่งที่ต้องเตรียมประเทศให้พร้อมกับการก้าวเข้าสู่สังคมสารสนเทศจึงต้องให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึงทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ต่อมาเมื่อวันที่15ธันวาคม
พ.ศ.2541คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบต่อการจัดทำโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศที่เสนอโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และ สิ่งแวดล้อม
และเห็นชอบให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ(National
Information Technology Committee)
หรือที่เรียกโดยย่อว่า"คณะกรรมการไอทีแห่งชาติ
หรือ กทสช. (NITC)"
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง
ๆ
ที่กำลังดำเนินการจัดทำกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและกฎหมายอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้คณะกรรมการไอทีแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง6ฉบับโดยมอบหมายให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(National
Electronics and Computer Technology
Center) หรือที่มักเรียกโดยย่อว่า
"เนคเทค" (NECTEC)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(National
Science and Technology Development
Agency)
หรือที่เรียกโดยย่อว่า"สวทช."
กระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ
ทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง6ฉบับเนคเทคจึงได้เริ่มต้นโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้นเพื่อปฏิบัติตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและคณะกรรมการไอทีแห่งชาติในการยกร่างกฎหมายไอทีทั้ง6ฉบับ
ให้แล้วเสร็จ
คือ
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.
กฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic
Transactions Law)
เพื่อรับรองสถานะทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอด้วยกระดาษ
อันเป็นการรองรับนิติสัมพันธ์ต่าง ๆ
ซึ่งแต่เดิมอาจจะจัดทำขึ้นในรูปแบบของหนังสือให้เท่าเทียมกับนิติสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่จัดทำขึ้นให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
รวมตลอดทั้งการลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
และการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
2.
กฎหมายเกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์(Electronic
Signatures Law)
เพื่อรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยกระบวนการใด
ๆ
ทางเทคโนโลยีให้เสมอด้วยการลงลายมือชื่อธรรมดา
อันส่งผลต่อความเชื่อมั่นมากขึ้นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
และกำหนดให้มีการกำกับดูแลการให้บริการ
เกี่ยวกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตลอดจนการให้
บริการอื่น
ที่เกี่ยวข้องกับลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.
กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศให้ทั่วถึง
และเท่าเทียมกัน (National Information
Infrastructure Law)
เพื่อก่อให้เกิดการส่งเสริม สนับสนุน
และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
อันได้แก่ โครงข่ายโทรคมนาคม
เทคโนโลยีสารสนเทศ สารสนเทศทรัพยากรมนุษย์
และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศสำคัญอื่น ๆ
อันเป็นปัจจัยพื้นฐาน
สำคัญในการพัฒนาสังคม
และชุมชนโดยอาศัยกลไกของรัฐ
ซึ่งรองรับเจตนารมณ์สำคัญประการหนึ่งของแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 78 ในการกระจายสารสนเทศให้ทั่วถึง
และเท่าเทียมกัน
และนับเป็นกลไกสำคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เพื่อสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการปกครองตนเองพัฒนาเศรษฐกิจภายในชุมชน
และนำไปสู่สังคมแห่งปัญญา
และการเรียนรู้
4.กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(Data
Protection Law)
เพื่อก่อให้เกิดการรับรองสิทธิและให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ซึ่งอาจถูกประมวลผล
เปิดเผยหรือเผยแพร่ถึงบุคคลจำนวนมากได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วโดยอาศัยพัฒนาการทางเทคโนโลยี
จนอาจก่อให้เกิดการนำข้อมูลนั้นไปใช้ในทางมิชอบอันเป็นการละเมิดต่อเจ้าของข้อมูล
ทั้งนี้
โดยคำนึงถึงการรักษาดุลยภาพระหว่างสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัว
เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร
และความมั่นคงของรัฐ
5.กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(Computer Crime Law)
เพื่อกำหนดมาตรการทางอาญาในการลงโทษผู้กระทำผิดต่อระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์
ระบบข้อมูล และระบบเครือข่าย
ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ
และการคุ้มครองการอยู่ร่วมกันของสังคม
6.
กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Funds Transfer Law)
เพื่อกำหนดกลไกสำคัญทางกฎหมายในการรองรับระบบการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งที่เป็นการโอนเงินระหว่างสถาบันการเงิน
และระบบการชำระเงินรูปแบบใหม่ในรูปของเงินอิเล็กทรอนิกส์ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อระบบการทำธุรกรรมทางการเงิน
และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์และกฎหมายลิขสิทธิ์
งานอันมีลิขสิทธิ์
หมายถึง
งานสร้างสรรค์ที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ต้องเป็นงานในสาขา
วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม
โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง
งานแพร่เสียงแพร่าภาพ รวมถึงงานอื่น ๆ
ในแผนกวรรณคดีวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
งานเหล่านี้ถือเป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา
ความรู้ความสามารถ
และความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น
ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
คือ สิทธิในลิขสิทธิ์ที่เกิดขึ้นทันที
นับแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานออกมาโดยไม่ต้องจดทะเบียน
หรือผ่านพิธีการใด ๆ การคุ้มครองลิขสิทธิ์
ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียว
ในการใช้ประโยชน์จากผลงานสร้างสรรค์ของตน
ในการทำซ้ำ ดัดแปลง
หรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน
รวมทั้งสิทธิในการให้เช่า
โดยทั่วไปอายุการคุ้มครองสิทธิจะมีผลเกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน
โดยความคุ้มครองนี้จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์และคุ้มครองต่อไปนี้อีก
50
ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต
ประโยชน์ต่อผู้บริโภค
การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิในผลงานลิขสิทธิ์
มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า
ทางวรรณกรรม
และศิลปกรรมออกสู่ตลาดส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับความรู้
ความบันเทิง
และได้ใช้ผลงานที่มีคุณภาพ
การละเมิดลิขสิทธิ์
มีการละเมิดทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนี้
-
การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง คือ การทำซ้ำ
ดัดแปลง
เผยแพร่โปรแกรมคอมพิวเตอร์แก่สาธารณชน
รวมทั้งการนำต้นฉบับหรือสำเนางานดังกล่าวออกให้เช่า
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
-
การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม คือ
การกระทำทางการค้า
หรือการกระทำที่มีส่วนสนับสนุนให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าวข้างต้นโดยผู้กระทำรู้อยู่แล้ว
ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
แต่ก็ยังกระทำเพื่อหากำไรจากงานนั้น
ได้แก่ การขาย มีไว้เพื่อขาย ให้เช่า
เสนอให้เช่า ให้เช่าซื้อ เสนอให้เช่าซื้อ
เผยแพร่ต่อสาธารณชน
แจกจ่ายในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของลิขสิทธิ์และนำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร
อย่างไรก็ตามสังคมอินเทอร์เน็ตก็ไม่ต่างจากสังคมปกติทั่วไปที่ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี
และมีทั้งด้านที่เป็นประโยชน์และด้านที่เป็นโทษจึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายทั้งพ่อแม่
ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ตลอดจนภาครัฐ
ภาคเอกชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง
ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในทางสร้างสรรค์
ก่อให้เกิดประโยชน์และความสงบสุขต่อสังคม
ให้ประชาชนมีความปลอดภัยทางด้านเศรษฐกิจ
และสังคม และความมั่นคงของรัฐ